เนื้อหา[ซ่อน] |
[แก้] รายนามกษัตริย์และผู้ปกครอง
[แก้] รัฐอิสระ พ.ศ. 1835 - 2101
1 | พญามังรายมหาราช | พ.ศ. 1835 - 1854 |
2 | พญาไชยสงคราม | พ.ศ. 1854 - 1868 (14 ปี) |
3 | พญาแสนภู | พ.ศ. 1868 - 1877 (11 ปี) |
4 | พญาคำฟู | พ.ศ. 1877 - 1879 (2 ปี) |
5 | พญาผายู | พ.ศ. 1879 - 1898 (19 ปี) |
6 | พญากือนา | พ.ศ. 1898 - 1928 (30 ปี) |
7 | พญาแสนเมืองมา | พ.ศ. 1928 - 1944 (16 ปี) |
8 | พญาสามฝั่งแกน | พ.ศ. 1945 - 1984 (39 ปี) |
9 | พระเจ้าติโลกราช | พ.ศ. 1984 - 2030 (46 ปี) |
10 | พญายอดเชียงราย | พ.ศ. 2030 - 2038 (8 ปี) |
11 | พญาแก้ว (พระเมืองแก้ว) | พ.ศ. 2038 - 2068 (30 ปี) |
12 | พญาเกศเชษฐราช (พระเมืองเกษเกล้า) | พ.ศ. 2068 - 2081 (13 ปี) ครั้งแรก |
13 | ท้าวซายคำ | พ.ศ. 2081 - 2086 (5 ปี) |
พญาเกศเชษฐราช (พระเมืองเกษเกล้า) | พ.ศ. 2086 - 2088 (2 ปี) ครั้งที่ 2 | |
14 | พระนางจิรประภา | พ.ศ. 2088 - 2089 (1 ปี) |
15 | พระไชยเชษฐา | พ.ศ. 2089 - 2090 (1 ปี) |
ว่างกษัตริย์ | พ.ศ. 2090 - 2094 (4 ปี) | |
16 | พระเจ้าเมกุฏิสุทธิวงศ์ (ท้าวเม่กุ) | พ.ศ. 2094 - 2107 ตั้งแต่ พ.ศ. 2101 ปกครองภายใต้อำนาจพม่า |
[แก้] รัฐบรรณาการอาณาจักรตองอู พ.ศ. 2101 - 2139
1 | พระเจ้าเมกุฏิสุทธิวงศ์ (ท้าวเม่กุ) | พ.ศ. 2094 - 2107 ตั้งแต่ พ.ศ. 2101 ปกครองภายใต้อำนาจพม่า |
2 | พระนางวิสุทธิเทวี | พ.ศ. 2107 - 2121 (14 ปี) ธิดาพระเมืองเกษเกล้า |
3 | สาวถีนรตรามังซอศรีมังสรธาช่อ | พ.ศ. 2121 - 2139 ราชบุตรของพระเจ้าบุเรงนอง |
[แก้] รัฐบรรณาการอาณาจักรอยุธยา พ.ศ. 2139 - 2157
1 | สาวถีนรตรามังซอศรีมังสรธาช่อ | พ.ศ. 2139 - 2150 ราชบุตรของพระเจ้าบุเรงนอง |
2 | พระช้อย (ครั้งที่ 1) | พ.ศ. 2150 - 2151 (1 ปี) |
3 | พระชัยทิพ (มังกอยต่อ) | พ.ศ. 2151 - 2156 (5 ปี) |
[แก้] รัฐบรรณาการอาณาจักรอังวะ พ.ศ. 2157 - 2206
1 | พระช้อย (ครั้งที่ 2) | พ.ศ. 2156 - 2158 (2 ปี) |
2 | พระเจ้าศรีสองเมือง (เจ้าเมืองน่าน) | พ.ศ. 2158 - 2174 (16 ปี) |
3 | พระยาหลวงทิพเนตร | พ.ศ. 2174 - 2198 (24 ปี) |
4 | พระแสนเมือง | พ.ศ. 2198 - 2202 (4 ปี) |
5 | เจ้าเมืองแพร่ | พ.ศ. 2202 - 2215 (13 ปี) |
[แก้] ประวัติ
[แก้] การก่อตั้ง
พระบรมราชานุสาวรีย์สามกษัตริย์ คือ พญามังราย พญาร่วง (พ่อขุนรามคำแหง) และพญางำเมือง ขณะทรงปรึกษาหารือการสร้างเมืองเชียงใหม่
หลังจากได้ย้ายศูนย์กลางการปกครองมาอยู่ที่เมืองเชียงรายแล้ว พระองค์ก็ได้ขยายอาณาจักรแผ่อิทธิพลลงทางมาทางทิศใต้ ขณะนั้นก็ได้มีอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองมาก่อนอยู่แล้วคือ อาณาจักรหริภุญชัย มีนครลำพูนเป็นเมืองหลวงตั้งอยู่ในชัยสมรภูมิที่เหมาะสมประกอบด้วยมีแม่น้ำสองสายไหลผ่านได้แก่แม่น้ำกวงและแม่น้ำปิงซึ่งเป็นลำน้ำสายใหญ่ไหลลงสู่ทะเลเหมาะแก่การค้าขาย มีนครลำปางเป็นเมืองหน้าด่านคอยป้องกันศึกศัตรู สองเมืองนี้เป็นเมืองใหญ่มีกษัตริย์ปกครองอย่างเข้มแข็ง การที่จะเป็นใหญ่ในดินแดนแถบนี้ได้จะต้องตีอาณาจักรหริภุญชัยให้ได้ พระองค์ได้รวบรวมกำลังผู้คนจากที่ได้จากตีเมืองเล็กเมืองน้อยรวมกันเข้าเป็นทัพใหญ่และยกลงใต้เพื่อจะตีอาณาจักรหริภุญชัยให้ได้ โดยเริ่มจากตีเมืองเขลางค์นคร นครลำปางเมืองหน้าด่านของอาณาจักรหริภุญชัยก่อน เมื่อได้เมืองลำปางแล้วก็ยกทัพเข้าตีนครลำพูน (แคว้นหริภุญชัย) พระองค์เป็นกษัตริย์ชาตินักรบมีความสามารถในการรบไปทั่วทุกสารทิศ สามารถทำศึกเอาชนะเมืองเล็กเมืองน้อยแม้กระทั่งอาณาจักรหริภุญชัยแล้วรวบเข้ากับอาณาจักรโยนกเชียงแสนได้อย่างสมบูรณ์
หลังจากพญาเม็งรายรวบรวมอาณาจักรหริภุญชัยเข้ากับโยนกเชียงแสนเสร็จสิ้นแล้ว ได้ขนามนามราชอาณาจักรแห่งใหม่นี้ว่า "อาณาจักรล้านนา" พระองค์มีดำริจะสร้างราชธานีแห่งใหม่นี้ให้ใหญ่โตเพื่อให้สมกับเป็นศูนย์กลางการปกครองแห่งอาณาจักรล้านนาทั้งหมด พร้อมกันนั้นก็ ได้อัญเชิญพระสหายสนิทร่วมน้ำสาบานสองพระองค์ได้แก่ พญางำเมืองแห่งเมืองพะเยา และ พ่อขุนรามคำแหงแห่งสุโขทัย มาร่วมกันสถาปนาราชธานีแห่งใหม่ในสมรภูมิบริเวณที่ลุ่มริมฝั่งมหานทีแม่ระมิงค์ แม่น้ำปิง โดยตั้งชื่อราชธานีแห่งใหม่นี้ว่า "นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่" แต่ก่อนที่จะตั้งเมือง พระองค์ทรงได้สร้างราชธานีชั่วคราวขึ้นก่อนแล้ว ซึ่งก็เรียกว่า เวียงกุมกามแต่เนื่องจากเวียงกุมกามประสบภัยธรรมชาติใหญ่หลวงเกิดน้ำท่วมเมืองจนกลายเป็นเมืองบาดาล ดังนั้นพระองค์จึงได้ย้ายราชธานีมาอยู่ ณ นครเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 1839 และได้เป็นศูนย์กลางการปกครองราชอาณาจักรล้านนานับแต่นั้น นครเชียงใหม่มีอาณาบริเวณอยู่ระหว่างเชิงดอยอ้อยช้าง (ดอยสุเทพ) และ บริเวณที่ราบฝั่งขวาของแม่น้ำปิง (พิงคนที) นับเป็นสมรภูมิที่ดีและเหมาะแก่การเพาะปลูกเนื่องจากเป็นบริเวณที่ราบลุ่มมีแม่น้ำไหลผ่าน
[แก้] การเมือง การปกครอง สมัยราชวงศ์เม็งราย
วัดเจดีย์หลวง สร้างขึ้นในช่วงยุคทองของล้านนา องค์พระเจดีย์พังทลายลงมาด้วยแผ่นดินไหวเมื่อปี พ.ศ. 2088
รัชสมัยของพระเจ้าติโลกราช (พ.ศ. 1985-2030) กษัตริย์องค์ที่ 9 ราชวงศ์เม็งราย พระองค์ได้รับการยกย่องให้มีฐานะเป็น "ราชาธิราช" พระองค์ทรงแผ่ขยายขอบขัณฑสีมาของอาณาจักรล้านนาให้ยิ่งใหญ่และกว้างขวางกว่าเดิม
- ด้านทิศตะวันออก เมืองนันทบุรี (น่าน) แพร่สวางคบุรี จรดถึง หลวงพระบาง
- ด้านทิศตะวันตก ขยายไปจนถึงรัฐฉาน (ตะวันตกเฉียงเหนือของพม่า) เช่น เมืองไลคา สีป้อ ยองห้วย
- ด้านเหนือ เมืองเชียงรุ้ง เมืองยอง
ต่อมาอาณาจักรล้านนาตกเป็นประเทศราชของพม่าในปี 2101
[แก้] การปกครองโดยตองอูและอังวะ
อาณาจักรล้านนา เริ่มเสื่อมลงในปลายรัชสมัย "พญาแก้ว" เมื่อกองทัพเชียงใหม่ได้พ่ายแพ้แก่ทัพเชียงตุงในการทำสงครามขยายอาณาจักร ไพร่พลในกำลังล้มตายลงเป็นจำนวนมาก ประกอบกับปีนั้นเกิดอุทกภัยใหญ่หลวงขึ้นในเมืองเชียงใหม่ ทำให้บ้านเรือนราษฎรเสียหายและผู้คนเสียชีวิตลงเป็นจำนวนมาก สภาพบ้านเมืองเริ่มอ่อนแอเกิดความไม่มั่นคง หลังจาก "พญาแก้ว" สิ้นพระชนม์ก็เกิดการจลาจลแย่งชิงราชสมบัติ ระหว่างขุนนางมีอำนาจมากขึ้น ถึงกับแต่งตั้งหรือถอดถอนเจ้าได้ เมื่อนครเชียงใหม่ศูนย์กลางอำนาจเกิดสั่นคลอน เมืองขึ้นต่าง ๆ ที่อยู่ในการปกครองของเชียงใหม่จึงแยกตัวเป็นอิสระ และไม่ส่งเครื่องราชบรรณาการอีกต่อไปเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 1 พระเจ้าบุเรงนอง แห่งอาณาจักรตองอูได้ทำศึกมีชัยชนะไปทั่วทุกทิศานุทิศ จนได้รับการขนานนามพระเจ้าผู้ชนะสิบทิศ พระเจ้าบุเรงนองได้ทำศึกยึดครองนครเชียงใหม่ไปประเทศราชได้สำเร็จ รวมทั้งได้เข้าได้ยึดเมืองลูกหลวงและเมืองบริเวณของเชียงใหม่ไปเป็นประเทศราชด้วย ในช่วงแรกนั้นทางพม่ายังไม่ได้เข้ามาปกครองเชียงใหม่โดยตรง เนื่องจากยุ่งกับการศึกกับกรุงศรีอยุธยา แต่ยังคงให้ "พระเจ้าเมกุฎิ" ทำการปกครองบ้านเมืองต่อตามเดิม แต่ทางเชียงใหม่จะต้องส่งเครื่องราชบรรณาการไปให้หงสาวดี ต่อมา "พระเจ้าเมกุฎิ" ทรงคิดที่จะตั้งตนเป็นอิสระ ฝ่ายพม่าจึงปลดออกและแต่งตั้ง "พระนางราชเทวี หรือ พระนางวิสุทธิเทวี" เชื้อสายราชวงศ์เม็งรายพระองค์สุดท้าย ขึ้นเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่แทน จนกระทั่งพระนางราชเทวีสิ้นพระชนม์ ทางฝ่ายพม่าจึงได้ส่งเจ้านายทางฝ่ายพม่ามาปกครองแทน เพื่อคอยดูแลความเรียบร้อยของเมืองเชียงใหม่ ในสมัยนั้นเมืองเชียงใหม่เกือบจะเป็นเมืองพระยามหานครของพม่าแล้ว อีกประการหนึ่งก็เพื่อที่จะเกณฑ์พลชาวเชียงใหม่ และ เตรียมเสบียงอาหารเพื่อไปทำศึกสงครามกับทางกรุงศรีอยุธยา
อาณาจักรล้านนาในฐานะเมืองขึ้นของพม่าไม่ได้มีความสงบสุข มีแต่การกบฎแก่งแย่งชิงอำนาจกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่แต่เชียงใหม่อย่างเดียว เมืองอื่นๆในล้านนาก็ด้วย
จนกระทั่งราชวงศ์นยองยาน สถาปนาอาณาจักรรัตนปุระอังวะอีกครั้งจึงหันมาปกครองเชียงใหม่โดยตรง
[แก้] อาณาเขต
หลักฐานทางประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่า ดินแดนล้านนานั้นหมายถึงดินแดนบางส่วนของอาณาบริเวณ ลุ่มน้ำแม่โขง ลุ่มน้ำสาละวิน แม่น้าเจ้าพระยา ตลอดจนเมืองที่ตั้งตามลุ่มน้ำสาขาเช่นแม่นำกก แม่น้ำปิง แม่น้ำวัง แม่น้ำยม แม่น้ำน่าน แม่น้ำปาย แม่นำแตง แม่น้ำงัด ฯลฯโดยมีอาณาเขต ทางทิศใต้จดเมืองตาก (อำเภอบ้านตากในปัจจุบัน) และ จดเขตดินแดนด้านเหนือของอาณาจักรสุโขทัย ทิศตะวันตกเลยลึกเข้าไปในฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสาละวิน ทิศตะวันออกจดฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโขง ทิศเหนือจดเมืองเชียงรุ่ง (หรือคนจีนเรียกในปัจจุบันว่า เมืองจิ่งหง เนื่องจากคนจีนออกเสียงภาษา"ไทยลื้อ"ไม่ชัด จาก "เจียงฮุ่ง" จึงกลายเป็น "จิ่งหง"Jinghong ซึ่งบริเวณชายขอบของล้านนา อาทิ เมืองเชียงตุง เชียงรุ่ง เมืองยอง เมืองปุ เมืองสาด เมืองนาย เป็นบริเวณที่รัฐล้านนาแผ่อิทธิพล ไปถึงในเมืองนั้นๆ (ในบางสมัยเช่นสมัยพญามังราย พระเจ้าติโลกราช ที่มีพระราชแสนยานุภาพเกรียงไกร) ดินแดนส่วนสำคัญของล้านนาอยู่ในเขตภาคเหนือของประเทศไทย อันประกอบไปด้วย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน และสวางคบุรีในอุตรดิตถ์ นอกจากนี้ยังมีดินแดนชายขอบล้านนาด้านใต้ ซึ่งบางส่วนของจังหวัดอุตรดิตถ์ (อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ ลับแล ท่าปลา) และจังหวัดตาก (อำเภอสามเงา) ในสมัยโบราณได้กล่าวถึงเมืองขึ้นกับดินแดนล้านนามี 57 เมือง ดังปรากฏในตำนาน พื้นเมืองของเชียงใหม่ว่า ในสัตตปัญญาสล้านนา 57 หัวเมือง แต่ก็ไม่ได้ระบุว่ามีเมืองใดบ้าง ปัจจุบันมีหลักฐานที่พม่านำไปจากเชียงใหม่ในสมัยที่พม่าปกครองเมืองเชียงใหม่ (พ.ศ. ๒๑๐๑-๒๓๑๗)และได้แปลเป็นภาษาพม่าต่อมาในปี คศ. ๒๐๐๓ ทางมหาวิทยาลัย Yangon ได้แปลเป็นภาษาอังกฤษ)ชื่อ Zinme Yazawin หรือตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ฉบับภาษาพม่า(ชื่อเต็มดูที่อ้างอิง ท้ายนี้)ได้ระบุเมืองต่างๆ กว่า ๕๐ หัวเมือง(รายละเอียดชื่อเมืองต่างๆปรากฏอยู่ในหนังสือ Zinme Yazawin ภาคภาษาอังกฤษ อยู่แล้ว) เช่น เมืองฝาง เมืองเชียงของ เมืองพร้าว เมืองเชียงดาว เมืองลี้ เมืองยวม เมืองสาด เมืองนาย เมืองเชียงตุง เมืงเชียงคำ เมืองเชียงตอง เมืองน่าน เมืองเทิง เมืองยอง เมืองลอง เมืองตุ่น เมืองแช่ เมืองอิง เมืองไลค่า เมืองลอกจ๊อก เมืองปั่น เมืองยองห้วย เมืองหนองบอน เมืองสู่ เมืองจีด เมืองจาง เมืองกิง เมืองจำคา เมืองพุย เมืองสีป้อ เมืองแหง เมืองหาง เมืองพงฯลฯหรือชื่อที่สะกดเป็นภาษาอังกฤษ ดังนี้Chaing rai Chaing Hsaen Chaing Khong Chaing Lao Chaing la Chaing Lat Bu Kha(พูคา) Ba yet(ป่าแหงด)
Ba Baung(ป่าบง)Hsa Thon (ท่าตอน)Kan Pi Ka tai Kha rut La Khon(ละกอน=ลำปาง) Lumphun(ลำพูน) Muang Hsat(เมืองสาด) Moung Hing(เมืองฮิง) Moung Leng(เมืองเลง) Moung Ban(เมืองปั่น) Moung Bre(เมืองแปร่-แพร่) Moung Haeng(เมืองแหง) Moung Hai Moung Hkok(กก) Moung Hsaik M.Kai(ก๋าย) M.Khuang(ของ=คอง) M.Koe(โก)
M.Kuan(ขอน) M.Kyak(จ้อด) [1][2]
[แก้] ศิลปะ
- ดูบทความหลักที่ ศิลปะล้านนา
[แก้] อ้างอิง
- ^ พระเจ้าติโลกราช ประกาศแสนยานุภาพเมืองเหนือ (E.Q.Plus)
- ^ ศรีสักดิ์ วัลลิโภดม.ล้านนาประเทศ.กรุงเทพฯ : มติชน,2545
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น